แนวทางการรักษามะเร็ง MM
(มัลติเพิลมัยอิโลมา : Multiple Myeloma)
มะเร็ง MM หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว มัลติเพิล มัยอิโลมา (Multiple Myeloma)
เบื้องต้น
การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ประกอบด้วยการดูแลรักษาหลักจาก 2 ฝ่าย ได้แก่
- แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ป่วย และผู้ดูแล
ในการรักษาทุกขั้นตอนจะต้องช่วยเหลือดูแลให้ความร่วมมือกันอย่างสอดคล้องทั้ง 2 ฝ่าย
เบื้องต้นหากผู้ป่วยมะเร็งมัยอิโลมาอายุยังไม่เกิน 65 ปี หรือหากอายุเกินแต่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก จะพิจารณาให้เข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้เซลล์ของตัวเองได้ เพื่อช่วยยืดระยะเวลาโรคสงบให้ได้นานยิ่งขึ้น
แนวทางการปฏิบัติของผู้ป่วยและผู้ดูแล
ต้องมีการปรับพฤติกรรมและกิจกรรม ในหลายๆ มิติของชีวิตเพื่อการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดสรรชีวิตให้เหมาะสม ก็จะดูรักษาชีวิตได้มีประสิทธิภาพ
- จัดสรรการทำงานดี
- นอนดี
- อารมณ์ดี (ดูแลสภาพจิตใจดี)
- อาหารดี
- ออกกำลังกายดี
- ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
จัดสรรการทำงานดี
ในประเทศไทยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะอยู่ในวัยทำงาน อายุประมาณ 40–60 ปี และมีการเข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูกกันเป็นจำนวนมาก (ในต่างประเทศมักเป็นกันเมื่ออายุเฉลี่ยประมาณ 60 ปีขึ้นไป) โดยเมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด และปรับวิถีการทำงานให้สอดคล้อง
- เคลียร์ตารางงาน จัดสรรให้มีเวลาในการเข้ารับการรักษา และพักผ่อนดูแลตัวเองอย่างเพียงพอ
- ไม่ควรทำงานเกินวันละ 7–8 ชั่วโมง มีการเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชั่วโมง
- ไม่ทำงานที่หนัก หรือหักโหมเกินไป
- สามารถขอใบรับรองแพทย์เพื่อแจ้งที่ทำงานในการจัดเวลาให้ได้พัก หรือเปลี่ยนงานที่เบาลง
นอนดี
- นอนอย่างมีคุณภาพ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง
- นอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะได้ทำการซ่อมแซมพักฟื้นตนเอง
ดูแลสภาพจิตใจดี
- เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หากยอมรับว่าเป็นได้โดยเร็ว จะช่วยลดความว้าวุ่นกังวลใจ
- สภาพจิตใจที่ดีจะส่งผลดีกับการใช้ชีวิตและสุขภาพส่วนอื่น ๆ
- ให้ตระหนักว่าพัฒนาการในการรักษามะเร็งมัยอิโลมาในปัจจุบันนี้ มีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
- พยายามหาทางผ่อนคลาย ไม่เครียด
- เมื่อมีข้อกังวลให้ปรึกษาแพทย์พยาบาล หรือผู้มีประสบการณ์ เพื่อรับคำแนะนำได้
- หากเรามีสุขภาพจิตที่ดีก็จะส่งผลดีต่อการรักษาด้วย
ทานอาหารดี
สารอาหารครบ
- ควรทานอาหารให้ได้ในปริมาณใกล้เคียงกับปกติ เมื่อป่วยแล้วอาจทานอาหารได้น้อยลง อาจช่วยด้วยการแทรกทานในมื้อย่อยๆ เสริมให้มากขึ้น
- ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- เน้นการทานโปรตีนที่มีประโยชน์ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เพราะยาที่ใช้ในการรักษาจะออกฤทธิ์แรง ทำให้เกิดความเสียหายของเนื้อเยื่อภายในได้มาก
- เลือกทานปลาที่หลากหลาย เปลี่ยนชนิด เปลี่ยนแหล่งที่มาสลับกันไปเรื่อย ปรุงให้สุกสะอาด
ถูกสุขอนามัย
- เลือกทานอาหารที่สดใหม่ สุก สะอาด ทำทานมื้อต่อมื้อ
- หลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ อาหารที่เสี่ยงต่อการท้องเสีย ติดเชื้อ เช่น ส้มตำปูปลาร้า ปลาดิบ
- เลือกร้านและใช้ภาชนะอุปกรณ์ที่สะอาด
- งดทานหอย เพราะเสี่ยงต่อการท้องเสียเป็นอันดับ 1
งดปลาหมึก เพราะมักมีการแช่สารเคมีหรือฟอร์มาลีน - กุ้ง ทานได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงหัวกุ้งที่มักไม่สุก เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ระวังผักโรยที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน
ลดอาหารที่ปรุงแต่งสังเคราะห์ • หลีกเลี่ยงของทอดของมัน • เลี่ยงเนื้อแดง เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก
- ทานอาหารรสชาติกลางๆ ไม่รสจัด
- หลีกเลี่ยงเครื่องปรุงที่เป็นสารปรุงแต่ง หรือสารเคมีสำเร็จรูป เลือกใช้เครื่องปรุงตามธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำตาล ซีอิ๊วขาว
- หลีกเลี่ยงอาหาร หรือขนม ที่มีการปรุงแต่งมาก
- หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน เพราะจะทำให้อึดอัด น้ำย่อยที่ออกมาจากตับต้องไปทำหน้าที่กำจัดส่วนเกินจากยา
- หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื้อแดง เพราะย่อยยาก เนื้อที่ย่อยง่ายคือ ปลา ไก่
ออกกำลังกายดี
- ออกกำลังแบบไม่หักโหมเกินไป
- ไม่เน้นการออกกำลังในลักษณะแข่งขัน เช่น วิ่งมาราธอน เพราะเมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานมาก อาจทำให้เกิดความผิดปกติส่งผลให้ไตวายได้
- ออกกำลังกายที่ได้บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เช่น โยคะ รำมวยจีน
- หลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องปะทะ เช่น เทนนิส วอลเล่ย์บอล ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- ไม่ควรว่ายน้ำ ในช่วงที่รักษา เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านเยื่อบุตา เยื่อบุหู ไปถึงสมองได้
ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- ต้องมาติดตามการรักษาอย่างตรงเวลา ต่อเนื่อง
- หาผู้ช่วยผู้ดูแลที่มีความเข้าใจคอยช่วยเหลือสนับสนุนติดตามอีกแรง
หากดูแลพฤติกรรมต่างๆ นี้เป็นอย่างดี ผลข้างเคียงที่เกิดจะน้อยลง ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น
ระบบการดูแลรักษาโรค MM
หลังจากทำการวินิจฉัยแล้ว แพทย์จะทำการประเมินระยะโรคของผู้ป่วย โดยการเจาะเลือด และดูจากปัจจัยหลัก 3 อย่าง ได้แก่
- ปริมาณตัวโรค : LDH, Beta2-microglobulin
เป็นตัวบอกว่าโรคที่เกิดในร่างกายอยู่ในระดับที่มากแค่ไหน - ความรุนแรงของตัวโรค : Albumin
ถ้าเป็นมากจะไปยับยั้ง albumin ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย - ลักษณะทางพันธุกรรม : FISH
ภาพนี้ แสดงถึงโครงสร้างของผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง/ระบบของการดูแลรักษาอย่างย่อ
- ศูนย์กลางคือผู้ป่วย (Patient)
- ลำดับถัดมาที่ใกล้ชิดคือ ผู้ดูแล (Caregiver) และเพื่อน ครอบครัว ชุมชนสังคม (Friends, Family, Community)
กลุ่มคนเหล่านี้ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคและการดูแลรักษาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจได้
- วงรอบนอก คือ ทีมผู้ดูแลส่วนต่าง ๆ ได้แก่
- แพทย์เจ้าของไข้หลัก
- แพทย์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น ด้านไต กระดูก
- การฝึกฝนผู้เกี่ยวข้องให้ช่วยในการดูแล อาจมีทีมพยาบาลที่ช่วยให้คำแนะนำต่าง ๆ พยาบาลประสานงานส่วนต่าง ๆ
- เภสัชกร แนะนำและเตรียมยา ไม่ควรใช้ยาจากผู้อื่นภายนอกโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากแพทย์
- ทีมวิจัย ศึกษาจากข้อมูลผู้ป่วยที่มารับการรักษา เพื่อนำไปวิจัยพัฒนาการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
- หมอกายภาพบำบัด สำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องกระดูก แนะนำท่าการเคลื่อนไหว การออกกำลังที่เหมาะสม
- บริการดูแลด้านอาหาร สามารถสอบถามแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการทานได้
- การสนับสนุนจากภาคสังคม ระบบ สิทธิ์การรักษา
- ความรู้สึก อารมณ์ สังคม จิตใจ
- การดูแลแบบประคับประคอง
หลักการดูแลแบบประคับประคอง
เนื่องจากโรคมะเร็งส่งผลให้มีอาการได้หลากหลาย หากได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ จะช่วยทำให้การเจ็บปวดลดลง ไม่เกิดอาการปวดกระดูก แต่หากมีอาการมากขึ้นจนทำให้ร่างกายอ่อนแอทุกข์ทรมาน กลับมาเป็นซ้ำ ก็จะพิจารณาการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งปัจจุบันมีแนวทางนี้ในทุกโรงพยาบาล เป็นนโยบายระดับประเทศ เพื่อลดอาการป่วยและความทุกข์ทรมาน ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการให้ยาเสริมกล้ามเนื้อ และทำกิจกรรมอื่น ๆ ตามความสนใจ เช่น ศิลปะ ดนตรี โดยทั้งหมดนี้ ทำเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
หลักการสำคัญ :
- ลดอาการป่วย และบรรเทาความทุกข์ทรมาน -> เพิ่มคุณภาพชีวิต
การจัดการดูแลให้สอดคล้องใน 3 มิติ :
การดูแลรักษาแบบประคับประคอง ประกอบด้วย
- การสื่อสาร เกี่ยวกับเป้าหมายและแผนการรักษาในช่วงเวลาต่างๆ
- แพทย์และพยาบาลจะสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
- ดูแลความต้องการของผู้ป่วย รวมทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก
- เน้นการสร้างความสบายใจ และความสุขของผู้ป่วย
- มีส่วนร่วมในการตัดสินใจแผนการรักษาจากผู้ป่วยและผู้ดูแล
- แพทย์จะแจ้ง ข้อดี ข้อเสีย ทางเลือก เพิ่มความเข้าใจ เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้นร่วมกัน ให้เป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะส่งผลดีต่อความราบรื่นในการดำเนินการรักษาระยะยาว
- คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแล
- การดูแลตัวเองของผู้ดูแลก็เป็นส่วนสำคัญ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ควรมีการสลับพักบ้าง
คำถาม
อาหารเสริม และสมุนไพรมีค่อนข้างมาก เราทานได้มากน้อยแค่ไหน หรือไม่ควรทานเลย ?
อาหารเสริมต่างๆ เหมาะกับการทานก่อนที่จะเป็นมะเร็ง หรือหลังจากการรักษาหายแล้วมากกว่า การทานระหว่างการรักษาอาจไม่ช่วยอะไร และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนจะทานอะไรเสมอ
หลักการ คือ ช่วงที่เรากำลังรักษาโรคมะเร็งเราจะมียาหลักที่เราได้รับอยู่ ในส่วนอาหารเสริมต่างๆ เหมาะกับการทานก่อนที่จะเป็นมะเร็ง หรือหลังจากการรักษาหายแล้วมากกว่า การทานระหว่างการรักษาอาจไม่ช่วยอะไร และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนจะทานอะไรเสมอ
สรุปเนื้อหา และรับชม Live ย้อนหลัง
จากโครงการ Thai Cancer Academy
ตอน อยู่ร่วมอย่างสบายใจกับโรคมัลติเพิลมัยอิโลมา (มะเร็งไขกระดูก MM)
โดย อ.พญ. อาจารย์แพทย์หญิงธีรยา พัววิไล
อาจารย์หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี