วางใจอย่างไรในยามเจ็บป่วย

Palliative Care (การดูแลแบบประคับประคอง)

วางใจ

เราจะวางใจตัวเองอย่างไรดีนะ ในเวลาที่กำลังเจ็บป่วย

เมื่อร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ การทำงานของระบบต่างๆ ทั้งรวนและอ่อนล้า สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในขณะนี้คงมีเพียงแค่การพักผ่อน

แต่พอร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไร หลายครั้งอาจส่งผลให้จิตใจกลับยิ่งวิ่งวุ่นฟุ้งซ่าน

สำหรับแนวทางการดูแลจิตใจตัวเองในวันนี้เราจึงขอยังไม่ชวนทำอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าในตอนที่รู้สึกป่วยหนักๆ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ ก็ยังอาจเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำ

แต่เราจะมาแบ่งปันแนวทางในการ “วางใจ” ของตัวเองสำหรับช่วงเวลานี้

เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่กับใจตัวเองได้อย่างเบาสบายมากยิ่งขึ้นกัน

5 แนวทางการวางใจตัวเองในยามเจ็บป่วย

เรายังไม่ชวนทำอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าในตอนที่รู้สึกป่วยหนักๆ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ ก็ยังอาจเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำ

วางใจให้เบา ๆ

พัก

เหมือนกับร่างกายที่ต้องการ “พัก” จิตใจของเราก็ต้องการพักด้วยเช่นเดียวกัน

ยอมรับ

“ยอมรับ” โดยไม่ตำหนิตัดสินตัวเองว่า ในตอนนี้เรายังไม่พร้อมที่จะไปจัดการอะไร ขอให้ตัวเองได้ใช้เวลากับการพักผ่อนเพื่อฟื้นตัวจากความเจ็บไข้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับไปทำสิ่งต่างๆ ที่ค้างคา

เพราะการพักผ่อนก็นับเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญ สำหรับการดำเนินภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง

ลดการใช้ความคิด

ลดการใช้ความคิดในเรื่องต่างๆ ลง

หากจะคิด ให้คิดถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นภาพและสัมผัสธรรมชาติ บทเพลงที่ชอบ สถานที่ที่ประทับใจ เรื่องราวที่ทำรู้สึกดี ฯลฯ

พัก ทั้งจิตใจและร่างกาย

ยอมรับ ว่าเราอาจยังไม่พร้อมจะไปจัดการอะไร ขอให้ได้พักและฟื้นตัวก่อน

ลดการใช้ความคิดลงบ้าง นึกถึงสิ่งที่ผ่อนคลายแทน

วางใจให้เห็นความเป็นธรรมดา

ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติที่เป็นธรรมดาสากลของทุกชีวิต

ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่เจ็บป่วยและอ่อนแอ หากวันนี้เราต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยหรือเสื่อมถอยของร่างกาย มันก็เป็นเพียงแค่ช่วงสภาวะหนึ่งของช่วงชีวิตคนเรา

มันไม่ได้เป็นความโชคร้าย มันไม่ได้เป็นความผิดของเราหรือของใคร
มันไม่ได้มีเพียงเราคนเดียวที่ต้องเจอกับสภาวะแบบนี้

เพราะสิ่งนี้คือเรื่องธรรมดา ของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้

วางใจให้เป็นมิตรกับตัวเอง

เป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกันในยามเจ็บป่วย ที่จิตใจเราอาจจะรู้สึกขุ่นมัว และอาจง่ายต่อการตำหนิติโทษตัวเอง

แต่หากเรามองเห็นความเจ็บป่วยนี้เป็นเรื่องธรรมดาได้แล้ว และเพิ่มความมีสติรู้ตัวเข้าไปอีกสักนิด ระวังอย่าให้ตัวเราไปตัดสิน ตำหนิ หรือคิดในทางที่ไม่ดีกับตัวเอง ก็จะช่วยทำให้จิตใจเราเบาสบายมากขึ้น

เราทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นทำดีและเป็นมิตรกับตัวเรา ดังนั้นคนแรกที่ควรจะเป็นมิตรกับเรามากที่สุด ก็คือตัวเราเองนี่แหละ

เราทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นทำดีและเป็นมิตรกับตัวเรา ดังนั้นคนแรกที่ควรจะเป็นมิตรกับเรามากที่สุด ก็คือตัวเราเองนี่แหละ

วางใจให้เป็นมิตรกับผู้อื่น

มองทุกสิ่งด้วยใจที่ธรรมดาและเป็นกลาง

ในเวลาที่เจ็บป่วยร่างกาย สภาวะจิตใจของเราก็อาจเหวี่ยงขึ้นลงไปมาได้ง่ายกว่าปกติ การทำความเข้าใจในธรรมชาตินี้ ก็จะช่วยให้เราระมัดระวังตัวเองได้มากขึ้น 

บางครั้งเรื่องที่เกิดอาจไม่ได้ใหญ่โตหรือรุนแรงเท่าที่เราคิดหรือเรารู้สึก การมองทุกสิ่งด้วยใจที่ธรรมดาและเป็นกลาง จะช่วยให้เราอยู่กับความจริงตรงหน้าได้ดีและเบาสบายมากขึ้น

การมองทุกสิ่งด้วยใจที่ธรรมดาและเป็นกลาง จะช่วยให้เราอยู่กับความจริงตรงหน้าได้ดีและเบาสบายมากขึ้น

สื่อสารตรงไปตรงมา อย่างเป็นมิตร

ไม่ตำหนิตัดสินตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรตำหนิตัดสินผู้อื่นด้วยเช่นกัน
เราทุกคนล้วนมีความแตกต่าง เราทุกคนล้วนมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเอง

จึงเป็นอีกเรื่องที่ธรรมดามากๆ หากเราอาจจะไม่ได้เข้าใจอะไรตรงกันทั้งหมด
เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ หากใครจะทำอะไรที่ไม่ถูกใจเรา

 เราทุกคนล้วนมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเอง

การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาแบบเป็นมิตร เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะในความสัมพันธ์รูปแบบใด

การตำหนิตัดพ้อด้วยอารมณ์ มักเป็นจุดเริ่มต้นของการสะท้อนกลับไปมาของความรู้สึก ความคิด ถ้อยคำ และการกระทำที่เป็นลบ…และนั่นก็ไม่ส่งผลดีกับใครเลย

หากสงสัย ไม่เข้าใจ ให้ลองถาม หากต้องการหรือไม่ต้องการอะไร ให้สื่อสารออกมา

การแสดงออกอย่างเป็นมิตรกับผู้อื่น เป็นประตูบานแรกที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี

ปล่อยวาง

ทั้งนี้ในความเป็นมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนมากมายหลายมิติ เราอาจไม่สามารถคาดหวังผลที่แน่นอน 100% ได้เสมอไปว่าเมื่อเราแสดงความเป็นมิตรกับผู้อื่นแล้ว จะทำให้ผู้อื่นดีตอบกลับมาได้ตลอด แต่อย่างน้อย สิ่งนี้ก็จะสามารถช่วยให้สถานการณ์ไม่แย่ลงไปกว่าเดิม

วางใจให้เห็นโอกาส

แม้ในยามเจ็บป่วยก็อาจไม่ได้มีแต่มุมแย่ๆ ไปซะทั้งหมด

เมื่อเราปรับมุมมองใหม่ และใช้เวลานี้ให้เป็นโอกาสใหม่ๆ ในทางบวก ก็อาจทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากขึ้นได้

~ เป็นโอกาสที่เราจะได้หยุดพักจากเรื่องราวต่างๆ อย่างเต็มที่ ได้ผ่อนความเร็วและความเยอะของเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตลงบ้าง เพื่อเตรียมปรับให้สิ่งต่างๆ กลับสู่สมดุลมากขึ้น

~ ได้กลับมารับรู้สังเกตร่างกายและจิตใจของเรามากขึ้น

~ เป็นโอกาสที่เราจะได้หยุดพักจากเรื่องราวต่างๆ อย่างเต็มที่ ได้ผ่อนความเร็วและปริมาณของเรื่องราวในชีวิตลงบ้าง เพื่อปรับให้สิ่งต่างๆ กลับสู่สมดุลมากขึ้น

~ ได้กลับมารับรู้สังเกตร่างกายและจิตใจของเรามากขึ้น

เห็นมากขึ้น

เมื่อร่างกายและจิตใจของเราอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ก็อาจเหมือนเป็นการสะกิดให้เรากลับมามองดูตัวเอง เริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรามากขึ้น

การทำงานของร่างกาย การเคลื่อนไหลของความคิดและอารมณ์

ทุกอย่างล้วนมีความหมาย

และเมื่อเรามองเห็น…ก็จะช่วยทำให้เราได้สัมผัสกับคุณค่าของสิ่งต่างๆ ภายในตัวเรามากขึ้น

~ ได้มองเห็นความสำคัญของการดูแลตัวเองมากขึ้น

ทบทวน

ความเจ็บป่วย อาจเป็นภาพสะท้อนที้เป็นผลพวงมาจากวิถีการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาของเรา

เราสามารถใช้เวลานี้ในการทบทวน สำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเรา ว่ามีสิ่งไหนที่มากไป น้อยไป จนทำให้สุขภาพกายใจของเราเสียสมดุล และลองตั้งเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น เพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเราเองต่อจากนี้

นอกจากนี้ เรายังอาจได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย ตามแต่การสังเกตและเปิดใจรับรู้ของตัวเรา

มีสิ่งไหนมากไป น้อยไป จนทำให้สุขภาพกายใจของเราเสียสมดุล

ลองตั้งเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น เพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเราเองนับต่อจากนี้

ค่อยๆ ปรับ

ทั้งหมดนี้ เราอาจลองค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ ปรับไปทีละน้อยได้ ไม่จำเป็นต้องพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองจนมากเกินไป บางสิ่งที่อาจยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องกดดันหรือตำหนิตัวเองซ้ำ เพียงรับรู้ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิด และตั้งเป้าหมายเพื่อปรับให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นมาเอง 

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คงเป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองได้พักผ่อน ดูแล และฟื้นฟูร่างกายจิตใจอย่างเต็มที่

ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและสมดุลนะคะ 🙂

เพียงรับรู้ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิด และตั้งเป้าหมายเพื่อปรับให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นมาเอง

ขอบคุณจากหัวใจ

  • คุณฝน กนกพร ตรีครุธพันธ์, ผู้เขียน
-+=