วิธีการรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาว Multiple Myeloma

วิธีรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาว มัลติเพิล มัยอิโลมา

มะเร็งไขกระดูก

การรักษาโรคมัลติเพิลมัยอิโลมา แบ่งออกเป็น

  1. การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือยากลุ่มใหม่/ยามุ่งเป้าต่างๆ
  2. การฉายรังสี
  3. การให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด
  4. การรักษาเพื่อควบคุมโรคให้สงบต่อไป (maintenance therapy)
  5. การรักษาประคับประคองอาการอื่นที่เกิดจากโรค

การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด หรือยากลุ่มใหม่ต่างๆ

ปัจจุบันการรักษาด้วยเคมีบำบัดมีหลายสูตรการรักษา ผู้รักษาจะพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการรักษาเทียบกับผลข้างเคียงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการรักษา รวมทั้งสภาวะความพร้อมของคนไข้และโรคอื่นที่เป็นร่วมด้วยโดยที่สูตรยาต่างๆจะมีมาตรฐานของขนาดยาที่ให้ เพื่อให้เกิดผลกระทบกับเซลล์ปกติของผู้ป่วยน้อยที่สุดและขณะเดียวกันก็สามารถลดปริมาณเซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุด

สูตรยาต่างๆ จะมีมาตรฐานของขนาดยาที่ให้ เพื่อให้เกิดผลกระทบกับเซลล์ปกติของผู้ป่วยน้อยที่สุด และสามารถลดปริมาณเซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุดด้วย

ต่อเนื่อง ได้ผลดี

การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือยากลุ่มใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลการตอบสนองที่ดีที่สุด โดยระยะเวลาในการให้ยาอาจติดต่อกันหลายเดือนหรือเป็นปี จนกระทั่งแพทย์เห็นผลการตอบสนองที่น่าพอใจหรือโรคเข้าสู่ระยะสงบ ทั้งนี้มีการเพิ่มตัวยาหรือเปลี่ยนแปลงสูตรยา ในระหว่างการรักษาได้ หากแพทย์ประเมินการตอบสนองของคนไข้แล้วว่าไม่ตอบสนองต่อยาหรือตอบสนองได้ไม่ดี

สูตรยาที่ใช้เป็นทางเลือกในการักษาในปัจจุบันมีดังนี้

สูตรยาเคมีบำบัด/ยามุ่งเป้ารายละเอียดและข้อแนะนำข้อควรระวัง / ผลข้างเคียง
Cy-Dex (ไซ-เด็ก)
ประกอบด้วย

•  Cyclophosphamide
(ไซโคลฟอสฟาไมด์)
•  Dexamethasone
(เด็กซาเมทาโซน)
• เป็นยารับประทาน
• ให้รับประทานเป็นช่วงๆ เช่น ทาน 4 วัน เว้น 4 วัน โดยทานต่อเนื่องหลายชุดและหลายเดือน
• ทานพร้อมมื้ออาหาร
• ให้รับประทานเป็นช่วงๆ ร่วมกับยาอื่น
ผลข้างเคียง
• คลื่นไส้ อาเจียน (พบไม่บ่อย)
• ผิวหนังและเล็บสีดำคล้ำ
เยื่อบุช่องปากอับเสบ
• กระเพาะปัสสาวะอักเสบและมีเลือดออก
• น้ำตาลในเลือดสูง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ หากอาการเหล่านี้เป็นมากควรปรึกษาแพทย์
• ควรตรวจสอบวันที่รับประทานยาอย่างถูกต้องอย่างเคร่งครัด
• ห้ามรับประทานยาเกินกว่ากำหนด
MP (เอ็ม-พี)
ประกอบด้วย

•  Melphalan
(เมลฟาแลน)
•  Prednisolone
(เพรดนิโซโลน)
• เป็นยารับประทาน
• ผู้ป่วยทนต่อยาได้ดี
รับประทานยา Melphalan ขณะท้องว่าง (1 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมง หลังอาหาร)
• รับประทานยา Prednisolone พร้อมมื้ออาหาร
• เป็นยาที่รับประทานต่อเนื่องหลายชุด และหลายเดือน
• รายงานแพทย์หากมีอาการ: ตาหรือตัวเหลือง ปัสสาวะ อุจจาระเปลี่ยนสี หรือมีผื่นผิดปกติ
• ยามีผลต่อไขกระดูก ทำให้อาจมีเม็ดเลือดต่ำหลังได้รับยา และส่งผลต่อการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อปลูกถ่าย จึงไม่ใช้ในผู้ป่วยที่วางแผนปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
Bortezomib
(บอร์ทีโซมิบ)
• เหนี่ยวนำให้เกิดการสลายของมัยอิโลมาเซลล์
• เป็นยาฉีดใต้ผิวหนังหรือทางเส้นเลือดดำ
• ไม่ทำลายเซลล์ต้นกำเนิด ผู้ป่วยจึงมีโอกาสปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดได้
• ให้ยาเป็นชุดๆ ตามช่วงเวลา เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ แล้วตามด้วยระยะพักยา 10 วัน ถือเป็น 1 ชุดของวงจรรักษา
• ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโชน
• ควรตรวจสอบวันที่นัดมาให้ยาอย่างเคร่งครัด
• ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย ท้องผูกหรือท้องเสีย ชาตามปลายมือปลายเท้า เกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากมีการปรับขนาดยา และได้รับยาบรรเทาอาการ
• พบการติดเชื้องูสวัดได้บ่อย เป็นข้อบ่งชี้ในการให้ยาป้องกันไปอย่างน้อย 3-6 เดือนหลังหยุดยา
Thalidomide
(ทาลิโดไมด์)
• ออกฤทธิ์ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน
• เป็นยารับประทาน
• ควรรับประทานก่อนนอน หรือ หลังอาหารเย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อลดผลข้างเคียงของอาการง่วงซึม
• ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโซน
• ผลข้างเคียง ได้แก่ ง่วงซึม ชาตามปลายมือปลายเท้า ท้องผูก หลอดเลือดดำอุดตัน
• หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
Lenalidomide
(เลนาลิโดไมด์)
• เป็นยารับประทานกลุ่มเดียวกับทาลิโดไมด์
• ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโซน
• ผลข้างเคียง ได้แก่ เม็ดเลือดขาวต่ำ (ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ) โลหิตจาง หลอดเลือดดำอุดตัน ท้องเสีย ผื่นคัน อาการอ่อนเพลีย หรือรับรสผิดปกติ
• หากรู้สึกเหมือนมีไข้ เจ็บคอ หรือมีอาการผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์
Carfilzomib
(คาร์ฟิวโซมิบ)
• ออกฤทธิ์คล้ายกับยาบอร์ทีโซมิบ
• เป็นยาฉีดทางเส้นเลือดดำ
• ให้ยาเป็นชุดๆ ตามช่วงเวลา
• ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโซน
ผลข้างเคียงจากยา พบไม่บ่อยแต่มีความสำคัญ ได้แก่
• ภาวะเป็นพิษต่อหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเลือดคั่ง ภาวะหัวใจขาดเลือด
•  ภาวะแทรกซ้อนของปอด
Ixazomib
(อิซาโซมิบ)
• ออกฤทธิ์คล้ายกับยา Bortezomib
• เป็นยารับประทาน
• ให้ยาเป็นชุดๆ
• ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโซน
ผลข้างเคียงจากยาที่พบบ่อย ได้แก่
• เม็ดเลือดขาวต่ำ
• ท้องเสียหรือท้องผูก

ที่พบน้อย ได้แก่
• อาการบวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก
• ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก
• อาการชาหรือปวดแสบร้อนที่มือและเท้า
• การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน

ถ้ามีอาการผิดปกติ พิจารณาปรึกษา
แพทย์
Daratumumab
(ดาราทูมูแมบ)
• เป็นยาแอนติบอดี้ต่อโปรตีนจำเพาะบนผิวพลาสมาเซลล์
• เป็นยาฉีดทางเส้นเลือดดำ
• ให้ยาเป็นชุดๆ ตามช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับยาที่ให้ร่วมและรอบรักษา
• ใช้เป็นยาเดี่ยว หรือร่วมกับยาเคมีบำบัดและ/หรือเด็กซาเมทาโซน
ผลข้างเคียงจากการรักษา
พบไม่บ่อยแต่มีความสำคัญ ได้แก่ ปฏิกิริยาของร่างกายต่อยาในการให้ครั้งแรก เช่น
• หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
• ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ หน้ามืด
• จุกแน่นในลำคอ
• หนาวสั่น มีไข้

ป้องกันโดยการให้ยาช้าๆ ในครั้งแรก

ฉายรังสี (ฉายแสง)

การรักษารายละเอียดและข้อแนะนำข้อควรระวัง
การฉายรังสี
(เฉพาะที่)
• เพื่อทำลายและลดการเจริญเติบโตของมัยอิโลมาเซลล์เฉพาะที่
• เพื่อลดและรักษาภาวะกระดูกถูกทำลายหรือมีการกดทับของเส้นประสาทที่ไขสันหลัง
ภาวะที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์กับปริมาณรังสีที่ได้รับโดยทั่วไปจะมีระคายเคืองในตำแหน่งที่ฉายแสง เช่น อาการปากแห้ง หรือการรับรู้รสชาติอาหารเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงได้รับรังสี

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด

ใครปลูกถ่ายได้บ้าง

การให้เคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากตัวผู้ป่วยเอง (Autologous Stem Cell Transplantation) จะพิจารณาใน

  • ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี ที่มีสุขภาพร่างกายพร้อม ไม่มีโรคประจำตัวอื่นร้ายแรง มีการทำงานของระบบไต ปอด และหัวใจที่ดี รวมถึงไม่มีข้อห้ามอย่างอื่น
  • อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 65 ปีที่สภาพร่างกายพร้อม แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป
  • โดยจะพิจารณาหลังจากที่ผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือยากลุ่มใหม่/ยามุ่งเป้าต่างๆ มาในเบื้องต้นแล้ว

ขั้นตอนของการปลูกถ่ายไขกระดูก

  • ในลำดับแรก แพทย์จะให้ยาเคมีบำบัดหรือยากลุ่มใหม่ที่ไม่ส่งผลต่อเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก เพื่อลดจำนวนมัยอิโลมาเซลล์ให้ได้มากที่สุด
  • หลังจากที่ได้รับการตอบสนองที่สมบูรณ์ต่อการรักษาด้วยยาในช่วงแรกแล้ว จะมีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดไว้ก่อน
  • และเข้าสู่กระบวนการให้ยาเคมีบำบัดที่มีขนาดสูงเพื่อจะทำลายมัยอิโลมาเซลล์ให้หมดไป
  • แล้วจึงจะทำการใส่เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บไว้กลับไปในร่างกายผู้ป่วยเพื่อทดแทนเซลล์เม็ดเลือดปกติที่จะถูกทำลายไปด้วย

มีความเสี่ยงไหม

การรักษาด้วยวิธีนี้แม้จะเพิ่มโอกาสการตอบสนอง เพิ่มคุณภาพชีวิตและการรอดชีวิตในผู้ป่วย โดยมีผลแทรกซ้อนไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้โรคหายขาดถาวร และมีความเสี่ยงในผู้ป่วยที่สุขภาพไม่แข็งแรงพอ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีโรคกลับเป็นซ้ำในช่วง 1.5-3 ปี และอาจต้องปลูกถ่ายมากกว่า 1 ครั้ง

ดังนั้นกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ผู้ป่วยและญาติควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับฟังคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับโอกาส ประโยชน์และความสี่ยงต่าง ๆ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการรักษาด้วยวิธีนี้ สำหรับผู้ป่วยที่ได้ผลดีในครั้งแรกและสุขภาพแข็งแรงพอ เมื่อโรคกลับเป็นซ้ำ ก็สามารถนำเซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บไว้มารักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงและปลูกถ่ายซ้ำได้

การรักษาประคับประคองอาการอื่นที่เกิดจากโรค

มีจุดประสงค์เพื่อลดอาการจากตัวโรคมะเร็ง เพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วย และ/หรือป้องกันการเกิดอาการซ้ำ โดยจะทำไปพร้อมๆ กับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด

อาการวิธีการรักษา
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เนื่องจากภาวะ
โลหิตจาง (ซีด)
•  ให้เลือดในกรณีที่โลหิตจางรุนแรง
•  ใช้ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดในกรณีภาวะโลหิตจางเล็กน้อยถึงปานกลาง
อาการปวดกระดูก• ใช้ยาลดการทำลายกระดูกทางเส้นเลือดดำ (ควรตรวจผลการทำงานของไตและสุขภาพฟันก่อน) ทั้งเพื่อรักษาอาการและป้องกันการเกิดภาวะกระดูกหักในอนาคต
• ระงับอาการปวด เช่น มอร์ฟีนชนิดรับประทาน หรือยาชนิดแปะผิวหนัง เช่น เฟนตานิล
• การรักษาอาการปวดกระดูกส่งผลทั้งทางร่างกายในการดำรงชีวิตประจำวันและทางด้านจิตใจ จึงมีความสำคัญ
อาการจากภาวะไตวาย เช่น อ่อนเพลีย มีเกลือแร่ผิดปกติ บวม
• ให้สารน้ำอย่างเหมาะ ให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการและสามารถปัสสาวะออกมาได้อย่างสมดุล ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำจะทำให้เอ็ม-โปรตีนคั่งที่ไต ทำให้การทำงานของไตทำงานลดลงอีก จึงมีความสำคัญมาก
• ในทางกลับกันผู้ป่วยที่ไตวายจนไม่สามารถขับน้ำที่รับประทานทิ้งได้จะมีอาการบวม อาจพิจารณาช่วยด้วยการให้ยาขับปัสสาวะ
• ให้ยาปรับสมดุลเกลือแร่
• รักษาชดเชยทางไต เช่น การฟอกเลือด ในผู้ป่วยที่ไตไม่สามารถทำงานเอง
การมีไข้ หรือการติดเชื้อ• ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
• ให้ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวกรณีจำเป็น
• ให้สารภูมิคุ้มกัน (Intravenous immunoglobulin; IVIG) ในกรณีติดเชื้อรุนแรง
• รีบมาพบแพทย์โดยเร็วกรณีสงสัยว่าติดเชื้อหรือมีไข้

แหล่งข้อมูล

-+=