ฟื้นฟูตัวเอง
ด้วยพลังจากธรรมชาติ
(Connect with Nature)

📖 สารบัญการฝึกรับพลังจากธรรมชาติ

พลังจากธรรมชาติ

พลังของธรรมชาติปรากฏอยู่เสมอในชีวิตเมื่อเราเหยียบย่างบนผืนดิน หายใจรับอากาศเข้าไปซึ่งเป็นพลังจากธรรมชาติ เมื่อเราได้เชื่อมโยงกับพลังแห่งธรรมชาติอย่างตระหนักรู้ เราจะรับรู้โลกในวิถีที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น การเชื่อมโยงนี้ยังช่วยให้เราพบความสอดคล้องกลมกลืน และความมั่นคงภายในตนเอง ที่สำคัญคือทำให้เราได้สัมผัสพลังแห่งการเยียวยาของธรรมชาติ 💕

ผู้เข้าร่วมจะได้พบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างตัวเองและพลังธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานแห่งการเกื้อกูลและเยียวยา

ลองฝึกตามได้เลย

การอบรมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์คชอป / workshop) เรื่อง “การเสริมพลังชีวิตผ่านพลังแห่งธรรมชาติ” (Connect with Nature) จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถใช้ญาณปัญญาสัมผัสพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะกับต้นไม้ ผ่านกิจกรรมเพื่อให้มีประสบการณ์ตรง ผู้เข้าร่วมจะได้พบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างตัวเองและพลังธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานแห่งการเกื้อกูลและเยียวยา

บทความนี้เป็นบันทึกการทำกิจกรรมที่ฝึกฝนในด้านต่างๆ กันภายใน 1 วัน เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2567 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถทบทวน และผู้อ่านสามารถฝึกตามได้เลย 😊

ฟื้นฟู

หลังจากให้ยาหรือผ่าตัด ร่างกายต้องการฟื้นฟู อาจมีคนที่ประสบความเจ็บปวดทางร่างกาย ประสบกับความทุกข์ใจ หรือมีบาดแผลทางใจ (Trauma) จากเหตุใดๆ

เราทุกคนสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ทั้งจิตใจและร่างกายได้หลากหลายวิธี ซึ่งการอาบป่าเป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจมาก

จุดมุ่งหมายของมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง

มูลนิธิเครือข่ายมะเร็งมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ให้คนไม่เป็นมะเร็งแบบเรา

ส่วนสำหรับผู้ที่ตรวจพบมะเร็งแล้ว เราก็ต้องการช่วยพัฒนาชีวิตผู้ป่วยและผู้ดูแล และพัฒนาเรื่องสิทธิการรักษาให้ใช้บริการง่ายและมีประสิทธิภาพ

ครู Claire Elouard ผู้พาเราสัมผัสถึงพลังธรรมชาติ

ตอนเด็กๆ ครูอยู่ในแอฟริกา จึงได้อยู่กับธรรมชาติเยอะมาก ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับลึก จนได้สัมผัสรับรู้ถึงพลังของธรรมชาติ

ครูรับรู้พลังธรรมชาติได้อย่างไร

เป็นชาวฝรั่งเศส วัยเด็กใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ Senegal ทวีปแอฟริกา จึงได้อยู่กับธรรมชาติเยอะมาก ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะออกไปดูหิน ดูต้นไม้ อยู่กับธรรมชาติ ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับลึก จนได้สัมผัสรับรู้ถึงพลังของธรรมชาติ

คุณพ่อเป็นนักธรณีวิทยา คุณแม่เป็นนักชีววิทยา
ตอน 11 ชวบ ครูตัดสินใจว่าจะเป็นนักชีววิทยา

พอโตขึ้นหน่อยก็มาเรียนในฝรั่งเศส ตัวครูแคลร์เรียนระดับมหาวิทยาลัยด้านชีววิทยาสัตว์ ปริญญาโทด้านชีววิทยา และปริญญาเอกด้านนิเวศวิทยาทำวิจัยด้านนิเวศวิทยาในประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นก็ไปอยู่มาเลเซีย และอินเดียใต้ ทำวิจัย 8 ปีเรื่องพยาธิวิทยาป่าไม้ (โรคพืช) และนิเวศวิทยาป่าไม้

ในตัวครูจึงมีทั้งสองด้าน คือ ในด้านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ และในด้านที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติด้วยหัวใจ ครูสัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังของต้นไม้

ในตัวครูจึงมีทั้งสองด้าน คือ

  • ด้านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์
  • และด้านที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติด้วยหัวใจ ครูสัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังของต้นไม้

จนถึงจุดหนึ่ง ด้านการเชื่อมต่อด้วยหัวใจกับด้านวิทยาศาสตร์ในตัวครูก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ครูเริ่มเล่าสิ่งที่ครูสัมผัสรับรู้ได้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนได้ลองทำ เพื่อนชวนเพื่อนมา เพื่อนของเพื่อนก็ชวนเพื่อนมา ชวนต่อกันมาเรื่อยๆ จนคนบอกให้เปิดเป็นเวิร์คชอป เลยได้เริ่มออกสู่สาธารณะตั้งแต่นั้นมา ในเรื่องพลังงานของธรรมชาติ (Energy of Nature)

ครูแคลร์พาผู้คนสื่อสารกับธรรมชาติและรับพลังธรรมชาติตั้งแต่ปี 2004 ทั้งในอินเดีย ฝรั่งเศส ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และไทย

เราฝึกอะไรกัน

ฝึกรับรู้พลังงานอันมองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ ผ่านการเคลื่อนฝ่ามือเข้าหากัน รับรู้พลังงานระหว่างฝ่ามือ

เชื่อมโยงกับผืนดิน แล้วเราจะมีความมั่นคงมากขึ้นทั้งสามด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขกับชีวิต ชื่นชมสรรพชีวิตได้มากขึ้น

ครูพาก้าวย่างอย่างจิ้งจอก เปิดประสาทสัมผัสรับรู้ให้ตื่นตัว ช่วยสงบจิตใจ และความคิดมีพลังมากขึ้น

รับรู้คุณภาพของต้นไม้ รับรู้ความรู้สึกของเราเอง

เราจะได้รับประสบการณ์ง่ายๆ ว่า เราจะรับพลังจากต้นไม้ได้อย่างไร และรับพลังอย่างไรได้บ้าง

ครูส่งผ่านพลังต้นไม้ให้พวกเราโดยการจับมือ ขอพลังการรักษาจากต้นไม้ให้พวกเรา

ชวนรับพลังและสร้างสัมพันธ์กับต้นไม้ในชีวิตประจำวัน

ชวนปล่อยวางความหนักใจ ความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวล สู่สายน้ำ ให้สายน้ำพัดพาทั้งหมดนั้นให้สลายไป

ระหว่างกระบวนการที่ครูพาทำ ครูให้พวกเราละวางมือถือไว้ห่างจากตัว เพราะมือถือจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างเรากับต้นไม้

เปิดใจ

ให้เปิดใจรับให้มากที่สุดกับสิ่งที่พาทำ

เราจะรับรู้ได้ หรืออาจจะรับรู้ไม่ได้ แต่ขอให้ทำต่อไป เพราะมันกำลังทำงานในระดับลึก เพียงทำต่อไป พอถึงจุดหนึ่งเราจะอ๋อ จะเริ่มเข้าใจขึ้นมาเอง

ระหว่างทำหัวของเราอาจจะคิดตลอดเวลา ขอให้ปล่อยวางความคิดนั้น แค่กลับมารู้สึก แค่รู้สึก..เท่านั้นพอ

หัวของเราอาจจะคิดตลอดเวลา ขอให้ปล่อยวางความคิดนั้น แค่กลับมารู้สึก แค่รู้สึก..เท่านั้นพอ

“Let go and just feel.”

0~

รับรู้พลังงานผ่านฝ่ามือ

  1. หันฝ่ามือเข้าหากัน : กางแขนออกกว้าง งอข้อศอก มืออยู่ระดับเดียวกับท้อง หันฝ่ามือเข้าหากัน
  2. เคลื่อนฝ่ามือเข้าหากัน : ผ่อนแขน ผ่อนไหล่สบายๆ ไม่ต้องเกร็ง จากฝ่ามือห่างกันกว้างๆ ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือเข้าหากัน ..ช้าๆ ค่อยๆ
  3. รับรู้พลังงาน : เมื่อฝ่ามือเข้าใกล้กันเรื่อยๆ จนถึงระยะหนึ่ง จะรู้สึกถึงพลัง อาจจะรู้สึกยิบๆ ที่ฝ่ามือ อาจจะรู้สึกอุ่นๆ และรู้สึกถึงแรงต้านเล็กๆ

เปลี่ยนไปได้

ในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แต่ละคน ระยะที่สัมผัสได้ถึงพลังนี้จะแตกต่างไป ขึ้นกับพลังงานของเรา ณ ตอนนั้น

ร่างกายเรามีพลังงาน หรือ aura เมื่อสองมือมาเจอกัน พลังงานก็จะตื่นเต้นเล็กน้อย เราเลยรู้สึกอุ่นๆ หรือยิบๆ และรู้สึกถึงแรงต้านเล็กๆ

1~ 🌳

ฝึกเป็นต้นไม้ : หยั่งรากและตั้งแกน

ยืนบนพื้นที่มั่นคง

อาจจะบนพื้นดิน หรือพื้นใดๆ ที่เราสะดวกก็ได้ จะใส่รองเท้าก็ได้ จะถอดรองเท้าก็ได้ ตามสะดวก

ราก

จินตนาการว่า เท้าเราที่สัมผัสพื้น มีรากงอกออกยาว ลึกลงไปในพื้นดิน รากชอนไชแผ่ขยายไปทั่วทิศทาง ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง และลึกลงไปข้างล่าง รับรู้ว่ารากนั้นใหญ่ขึ้นๆ แข็งแรงขึ้นๆ และจากรากแก้วนี้ มีรากเล็กๆ งอกออกมา ทั้งยืดหยุ่นและอ่อนโยน ยืดยาวออกไปในผืนดิน เพื่อหาน้ำและธาตุอาหาร

ลำต้นและกิ่งก้าน

ลำต้นคือตัวเรา แข็งแรงและหนักแน่น เชื่อมต่อขึ้นมาจากรากที่มั่นคงและแข็งแรงนั้น ลำต้นเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ เรามีกิ่งก้านใหญ่และแข็งแรงงอกออกจากลำต้นทุกทิศทางและขึ้นบน กิ่งก้านมีความสมดุลรอบตัว มีกิ่งก้านเล็กๆ ยื่นออกมา ยืดหยุ่นและไหวไปมากับสายลม ทุกกิ่งก้านมีใบไม้ที่มีพลังชีวิต ใบไม้ไหวไปมาอย่างอ่อนโยนกับสายลม

สรรพชีวิต พึ่งพาอาศัย

มีนกและสรรพสัตว์มาหาเรา มาพักพิง มาหาอาหาร เราได้ยินเสียงนก

เรารับรู้ถึงการดำรงอยู่ของต้นไม้อื่นๆ รอบตัว เราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนต้นไม้

ราก • แผ่ขยายและลงลึก มั่นคงและแข็งแรง

กิ่งก้านใหญ่ • แข็งแรงและสมดุล

กิ่งก้านเล็กๆ • ยืดหยุ่นและไหวไปมากับสายลม

ใบไม้ • พลิ้วไหวอย่างอ่อนโยนกับสายลม

แบ่งปัน • โอบอ้อมอารีกับสรรพชีวิต

เวลาฝึกจะลืมตาหรือหลับตาก็ได้ เมื่อฝึกมากขึ้น เราจะสามารถฝึกเป็นต้นไม้ที่ไหนก็ได้ จินตนาการถึงรากที่ลงลึก ดีต่อการฝึกหยั่งราก

แม้จะอยู่บนตึกสูงก็ฝึกหยั่งรากได้

หากยืนไม่ได้ จะนั่งก็ทำได้ หยั่งรากจากเท้าที่สัมผัสพื้นได้ นอนก็ทำได้ หยั่งรากออกไปจากส่วนที่สัมผัสที่นอนได้

การฝึกเป็นต้นไม้ หยั่งรากและตั้งแกน เป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง

2~

ก้าวย่างอย่างจิ้งจอก (Fox walk)

เป็นวิธีที่ชาวอินเดียแดงในอเมริการเหนือใช้ตอนออกล่าสัตว์ ค่อยๆ ก้าวเดินโดยไม่เกิดเสียง เหยื่อไม่รู้ตัวว่าจิ้งจอกได้คืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

กลมกลืน

  1. ปลายเท้าสัมผัส : ก้าวเท้าออกไป มีแค่เพียงปลายเท้า (ด้านนิ้วเท้า) ที่สัมผัสพื้นเบาๆ ยังไม่ลงน้ำหนัก
  2. ส้นเท้าสัมผัส : ค่อยๆ วางส้นเท้าสัมผัสพื้นเบาๆ ยังไม่ลงน้ำหนัก วางแค่เพื่อให้รับรู้ว่ามีกิ่งไม้อยู่ใต้ฝ่าเท้าหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องหาจุดวางใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งทำให้เหยื่อรู้ตัว
  3. ค่อยๆ ลงน้ำหนัก : ค่อยๆ ลงน้ำหนักเท้าอย่างช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียง
  4. ก้าวอีกเท้า : เมื่อเท้าหน้าลงน้ำหนักอย่างอ่อนโยนเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ ก้าวเท้าอีกข้างด้วยวิธีเดิม

ขาที่ก้าวไปข้างหน้า จะหย่อนเข่าลงหน่อยก็ได้ เพื่อให้มั่นคงขึ้น

ตื่นตัว

ขณะที่ค่อยๆ เยื้องย่าง ก็มองไปรอบๆ รับรู้ ตื่นตัว ตระหนักกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

รวมถึงให้สัมผัสต่างๆ ของเราตื่นตัวด้วย เช่น รับรู้ที่เท้า รับรู้กลิ่น มองเห็น ได้ยินเสียง

เราก้าวไปราวกับว่า ไม่มีใครหรือสัตว์ตัวไหนมองเห็นเรา เรากลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม

กลมกลืน และตื่นตัว

ปลายเท้า • ส้นเท้า • ค่อยๆ ลงน้ำหนัก • แล้วก้าวถัดไป

มองไปรอบๆ ตื่นตัว รับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น


สิ่งที่ได้

  • เมื่อเราตั้งสมาธิอยู่กับเท้า ความนึกคิดฟุ้งของเราก็จะช้าลง
  • แต่ถ้าเราเดินแบบธรรมดา แค่ให้ช้าลง จิตหรือความคิดเราจะไปไกลได้หลายกิโลเมตรเลย
  • เปิดประสาทสัมผัสให้ตื่นตัวมากขึ้น
  • สงบมาก เราเดินกันตั้งหลายคน แต่มีความสงบมากเลย

พลังของจิตที่สงบ

ความคิดกระจ่างชัดขึ้น เพราะไม่ได้เอาพลังไปใช้กับความคิดฟุ้งซ่านและไม่จำเป็น

  • เมื่อจิตเราช้าลง สงบลง พลังของความคิดก็จะเพิ่มมากขึ้น ความคิดจะกระจ่างชัดขึ้น
  • ในเวลาใดก็ตาม หากเราได้เห็นทันความคิด เรามักจะพบว่าเป็นความคิดที่ไม่มีประโยชน์ แค่ฟุ้งขึ้นมา ระยะหนึ่งแล้วก็หายไป แล้วก็มีเรื่องใหม่ฟุ้งขึ้นมาอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ
  • เวลาจิตใจเราสงบลง เราจะมีพลังความคิดมากขึ้น สามารถพูดจนจบประโยคได้ ทำอะไรจนจบได้ จดจ่อได้มากขึ้น เพราะไม่ได้เอาพลังไปใช้กับความคิดฟุ้งซ่านและไม่จำเป็น สามารถทำการงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

Here & Now : ที่นี่ ณ เวลานี้

  • ณ ขณะปัจจุบัน เราไม่มีความกลัว
  • ความเจ็บปวดเป็นเรื่องในอดีต
  • ความกังวลเป็นเรื่องในอนาคต

ที่นี่ ณ เวลานี้ คือ สิ่งที่เราควรจะเป็นตลอดเวลา

การเชื่อมโยงกับผืนดิน (Grounding) ให้ความมั่นคง ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ช่วยให้เราสงบและอยู่กับปัจจุบัน

ในการเดินปกติ เราจะฝึกอย่างไร

ในการเดินปกติ เราฝึกได้โดยมีสติระลึกรู้อยู่กับเท้า แล้วเราจะตื่นตัวมากขึ้น สงบมากขึ้น ความคิดจะกระจ่างชัดและมีพลังมาก

ครูชอบไปถ่ายนก ถ้าครูระลึกรู้ที่เท้า จะพบเจอนกเยอะมาก ถ่ายนกได้เยอะมาก แต่ถ้าไม่ได้ฝึกสิ่งนี้ตอนถ่ายนก จะเห็นแค่นกบินโฉบไปโฉบมา

เราฝึกสิ่งนี้ได้ในหลายโอกาส ตอนไปเดินช้อปปิ้ง ตอนหั่นผัก ก็ฝึกได้

3~

รับพลังจากต้นไม้

เตรียมตัว

กินแต่พอดี ถ้าอิ่มไป เราจะรับรู้พลังงานต้นไม้ไม่ค่อยดี

รับรู้พลังงาน

รับรู้คุณภาพของต้นไม้ บางต้นให้พลังของความมั่นคง ตั้งมั่น บางต้นให้ความสงบ บางต้นโอบอุ้ม อบอุ่น บ้างก็สดชื่น เพิ่มชีวิตชีวาให้เรา บางต้นก็เบาสบาย พาเราออกจากความรู้สึกหนักได้

คุณภาพของต้นไม้อาจจะสะท้อนให้เราเห็นคุณภาพนั้นที่มีในตัวเรา หรืออาจจะคุณภาพที่เราต้องการเติมเต็มก็เป็นได้

ครูพาให้เราแต่ละคนไปสัมผัสไปอยู่กับต้นไม้ทีละต้นเพียงชั่วครู่ แล้วแบ่งปันกันสั้นๆ ว่าต้นไม้ต้นนั้นสัมผัสได้ถึงพลังแบบไหน

เริ่มจากมองดูก่อน เข้าไปสัมผัสด้วยมือ ร่างกายส่วนใดๆ ก็ได้ ด้วยความเคารพนอบน้อม

การรับรู้ของผู้เข้าร่วม

ต้นแรก

“อบอุ่น ช่วยเหลือดูแลคนอื่น”

“มั่นคง อยากได้ความมั่นคงจากต้นไม้”

“สงบ เย็นๆ ร่างกายเราร้อนมา อยากได้อะไรเย็นๆ”

“หนักแน่น อยากแข็งแกร่งอย่างต้นไม้”

“แผ่ขยาย อบอุ่น โอบกอด อ่อนโยน”

“หนักแน่น มั่นคง เย็น”

“สงบ”

“มั่นคง หยั่งราก โอบเป็นเพื่อน เราอยากเล่นด้วย ตอนที่เอาหลังพิง สัมผัสได้ถึงต้นไม้โอบรับให้เราพึ่งพิงได้”

ครูบอกว่า
“ต้นไม้ต้นนี้แข็งแรงและมั่นคงมาก เขามีความสุขที่ได้มีพวกเรา มีความสุขที่พวกเราได้มีเขา ต้นไม้ต้นนี้รักและเมตตาพวกเราทุกคน”

ต้นที่สอง

“ดูเขาขี้เล่น”

“มีชีวิตชีวา”

“ดูปราดเปรียว พอสัมผัส อ่อนเยาว์ แต่เข้มแข็ง”

“พุ่งขึ้น เชื่อมโยงกับความมุ่งมั่น”

“แน่น แล้วก็แกร่ง”

“กล้าหาญ ร่าเริง”

“เยาว์วัย”

ครูบอกว่า
“ต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้เต้นรำ สนุกสนานมาก เบาสบาย มีพลังชีวิต อยากเติบโต สนุกสนานในตัวเอง สนุกสนานในการดำรงชีวิต”

ต้นที่สาม

“กล้า ไม่ยอมแพ้”

“เด็ดเดี่ยว โดดเด่น โดดเดี่ยว พบว่า สามสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกัน อยู่ที่คุณภาพของใจในการรับรู้”

“ต้นไม้หมอ แผ่พลังอุ่นมาให้ อาการป่วยที่มีมันดีขึ้นได้รวดเร็วเลย”

“เงียบสงบ ทำให้พบว่า บางสถานการณ์ถ้าเราสงบเงียบจะช่วยได้”

“แผ่ขยายมากๆ ไปต่อได้เรื่อยๆ”

“ต้นนี้เรารู้สึกเหมือนเรา grounding ไม่รู้ทำไม”

ครูบอกว่า “ต้นไม้ต้นนี้เป็นนักรบ มีพลังชีวิตมากเลย เป็นผู้พิทักษ์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับทุกคน มีความรักความเมตตาสูงมาก ได้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายแก่พวกเรา”

4~

ขอพลังการรักษาจากต้นไม้ให้พวกเรา

ครูส่งผ่านพลังต้นไม้ให้พวกเราโดยการจับมือ ขอพลังการรักษาจากต้นไม้ให้พวกเรา

เป็นการส่งผ่านพลังจากต้นไม้สู่พวกเรา ..ทีละคน
คนที่รอ ก็แค่ดูหรือผ่อนคลายธรรมดาๆ ได้เลย

ครู (และทีมครูแต่ละคน) จะใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสต้นไม้ มืออีกข้างจับมือเราไว้ การทำเช่นนี้พลังงานของผู้ส่งจะไม่ถูกส่งผ่านมา จะมีแค่พลังงานของต้นไม้เท่านั้นที่ส่งให้พวกเรา

ผู้รับรับพลังการรักษา เพียงแค่ยืนให้มั่นคง และเปิดรับให้มากเท่าที่จะเปิดได้ ไม่ต้องคาดหวัง อาจจะรับรู้ได้ชัดหรือรับรู้ได้เบาๆ ก็เป็นได้ แต่พวกเราจะได้รับพลังการรักษาจากต้นไม้กันทุกคน

พวกเราจะได้รับพลังการรักษาจากต้นไม้กันทุกคน

มั่นคงและผ่อนคลาย

  • ยืนอย่างมั่นคง เชื่อมต่อฝ่าเท้ากับผืนดิน (grounding) และผ่อนคลาย
    ถ้านั่งพิง ก็ ground แผ่นหลังกับต้นไม้ได้ (ให้รู้สึกแผ่นหลังเชื่อมต่อกับต้นไม้)
  • ตั้งจิต “ขอพลังมาเยียวยาเรา”

ความรู้สึกของผู้เข้าร่วม หลังจากรับพลัง

“รับรู้ได้ถึงพลังงานที่วิ่งเข้ามา สดชื่นจากเท้าขึ้นมา รู้สึกปีติ”

“มีความอุ่นไปที่หน้า ที่ตัว”

ฯลฯ

5~

ใช้เวลากับต้นไม้

ให้เราแต่ละคนเลือกต้นไม้หนึ่งต้น ใช้เวลากับต้นไม้ต้นนั้นสัก 15 นาที เชื่อมโยง สนทนากับต้นไม้ โดยระวัง เคารพต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่รอบๆ ต้นไม้แต่ละต้นด้วย

จะกอด นั่ง นอน หรือแค่หายใจสบายๆ ก็ได้ แม้จะนอนแม้จะหลับ เราก็ได้รับบางอย่างทางจิตใต้สำนึก

มือถือจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างเรากับต้นไม้ เพราะมือถือ คือ อยู่กับหัว อยู่กับความคิด

เวลาที่เรารู้สึกไม่ดี ไปอยู่กับต้นไม้จะดีมาก

ต้นไม้ไม่ตัดสิน และยอมรับเราในทุกแง่มุม เราจึงแบ่งปันเรื่องราว ความรู้สึกได้เสมอ และต้นไม้ก็มีความสุขเสมอที่จะได้รับรู้ ได้ช่วยพวกเรา ต้นไม้มีเมตตาสูงมาก

6~

ฟังเสียงน้ำ

  • นั่งหรือยืน สัมผัสรับรู้ถึงฝ่าเท้าที่อยู่บนพื้น หลับตาลง จินตนาการว่า เราอยู่ใกล้แหล่งน้ำ อาจจะนั่งใกล้น้ำจริงๆ หรือเปิดเสียงน้ำไหลก็ได้
  • ในใจของเรา เราเห็นน้ำไหล ที่ใสบริสุทธิ์ เรารู้สึกชื่นชอบ เราฟังเสียงเพลงของสายน้ำที่กำลังไหล เรารู้สึกชอบความเบิกบานและเบาสบายของเสียงเหล่านี้
  • จิตของเราได้พัก เมื่อได้เห็นน้ำใสไหลหลั่งและฟังเสียงน้ำ

ปล่อยไป : Let go

ตอนนี้เราวางปัญหา ความยากลำบาก ความเครียด ความรู้สึกด้านลบ ความกังวล ความกลัวทั้งหมดลงในมัดหรือในห่อ ไม่ต้องคิดแยกแต่ละเรื่องราว แค่ให้รู้ว่าใส่ทุกอย่างรวมเป็นมัด เรามอบทุกสิ่งที่เรารู้ว่าไม่ต้องการอีกแล้ว เรามอบให้กับสายน้ำ ให้สายน้ำพาสิ่งเหล่านั้นไป สลายไป

ทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง รวมสิ่งที่เราไม่ต้องการเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งที่เราต้องการปล่อยวางและส่งลงไปในน้ำให้ละลายและหายไป เรารู้สึกว่าน้ำหนักนั้นได้ออกจากตัวไป เรารู้สึกสบายและสงบมากขึ้น ร่างกายเราปลอดจากความตึงเครียด ไหล่ของเราผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้เรารู้สึกเบา สะอาด และกระปรี้กระเปร่า

ทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง นำสิ่งที่เราต้องการปล่อยวาง รวมเป็นห่อ แล้วส่งลงไปในน้ำให้มันสลายและหายไป ทุกๆ ครั้งเรารู้สึกเบาขึ้น ใจสงบขึ้น

ปล่อยวางได้ทุกวัน

  • ทำตอนอาบน้ำก็ได้ ช่วยให้ใจเบาขึ้น สงบขึ้น
  • ช่วยให้ปล่อยวางในแต่ละวันไปได้ ชำระล้างความเครียดได้
  • ถ้าทำแล้วเบาสบายนอนหลับก็ไม่เป็นอะไร เรายังได้รับพลังงานสายน้ำอยู่
  • เราสามารถฝึกวิธีนี้ โดยส่งสิ่งที่เราต้องการปล่อยวางลงไปทางขา ลงสู่ผืนดินใต้ฝ่าเท้า ให้ดินช่วยซึมซับสิ่งต่างๆ ไปได้

7~

ต้นไม้ผู้ให้พลัง : Helping Trees

วิธีเลือกต้นไม้

  • เลือกต้นไม้ผู้ใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตรขึ้นไป จึงจะมีอายุมากพอ
  • เป็นต้นไม้สุขภาพดี ไม่เป็นโรค เราจะได้แลกเปลี่ยนพลังงานได้
  • ไม่เลือกต้นไผ่เพราะเป็นหญ้า ไม่เลือกตระกูลปาล์ม อย่างมะพร้าว อินทผาลัม เพราะโตเร็ว ไม่ค่อยมีพลังเท่าไร

พลังจากต้นไม้

ต้นไม้ผู้ให้พลัง จะช่วยเติมพลังให้เรา หรือช่วยให้เราหยั่งราก หรือช่วยให้สบายใจขึ้น

มองหาต้นไม้ที่สมดุลที่จะเติมพลังให้คุณในระดับทั่วไป หรือให้พลังต่อไปนี้

  • พลังของการตั้งมั่น (Grounding) ให้ความมั่นคง ความแข็งแรง และความสงบ
  • พลังสดชื่น ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้เรา
  • พลังเบาสบาย ช่วยให้เราออกจากความรู้สึกหนัก และพาเรามาสัมผัสหัวใจของเราเอง

เพื่อนต้นไม้ (Companion Tree)

หาต้นไม้ในละแวกบ้าน ตามวิธีเลือกข้างต้น แล้วสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับต้นไม้นั้น ในวันเวิร์คชอปเราได้ลองทำเพียง 5 นาที เราก็ได้สาร (ข้อความ หรือ message) มากมาย ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ จะได้อะไรมากกว่านี้นะ

ไปเยี่ยมต้นไม้บ่อยๆ

  • ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับต้นไม้ เป็นความสัมพันธ์ที่งดงาม เพราะต้นไม้ไม่ตัดสิน ต้นไม้ยอมรับเราได้อย่างที่เราเป็น
  • จะเขียนกลอน วาดรูป เขียนบันทึกช่วงเวลาพิเศษกับต้นไม้ก็ได้
  • ตอนที่ไปหาเขา ใช้เวลากับเขาสักหน่อย แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ แค่ทักทายสวัสดีเขาก็พอ

ข้อความสั้นๆ จากการถามตอบกับครู

ความรักเป็นพลังงานที่ทรงพลังมากที่สุด

ให้ความสำคัญกับการดูแลและให้ความรัก

สงสัยว่านี่เรารู้สึกจริงๆ หรือคิดไปเอง

เรารู้สึกในร่างกายไหม

รู้สึกดีทุกครั้ง นั่นคือความจริง คือ เรารู้สึกได้

หัวของเราจะคอยสงสัยตลอดเวลา และมักพาไปสู่ความลังเลสงสัย และคิดด้านลบมากกว่าด้านบวก

ส่วนความสุขจะอยู่ในหัวใจ

รู้สึกได้ก็คือรู้สึก

ตอนที่รับพลังจากต้นไม้ มีบางคนรู้สึกได้ว่า กระดูกสันหลังตั้งตรง

เรารู้สึกตั้งตรง มั่นคง

ถ้าเรารู้สึกได้ ก็คือ ความรู้สึก

สบายๆ

เวลาที่เราสบาย เราจะไม่รู้สึกหดเกร็งอยู่ข้างใน ถ้าเราคิดว่าฉันจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะหดเกร็งอยู่ข้างใน

ปล่อยใจให้สบายๆ

ระลึกในทางบวก

นึกถึงเหตุการณ์ที่มีความสุข

ในขณะที่เป็นทุกข์ หากเราระลึกถึงเหตุการณ์ที่มีความสุข เราก็จะรับรู้ความสุขนั้นได้อีกครั้ง ทำให้ความสุขในตัวฉันเข้มแข็งมากขึ้น

ถ้าเราไม่ค่อยได้ไปสัมผัสธรรมชาติ จะมีวิธีไหนช่วยได้บ้าง

  • ไปสวนสาธารณะได้
  • ถ้าไม่มีเวลาไปสวน ก็ปลูกต้นไม้ได้ มีประโยชน์เยอะเช่นกัน
  • ปลูกต้นไม้ในคอนโด ให้ลูกๆ ปลูกและดูแลต้นไม้ เป็นสิ่งที่ดีมาก

หญิงคนหนึ่งปลูกผักในเรือนจำ

มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในเรือนจำ เธอปลูกต้นสลัด และให้คนในเรือนจำปลูกผักสลัด คนในเรือนจำก็พูดเรื่องผักกันเยอะมาก “วันนี้งอกแล้วนะ” “วันนี้สูงขึ้นเยอะเลยล่ะ”

บรรยากาศในเรือนจำเปลี่ยนไปเลย

ถ้ามีเวลาก็พาเด็กไปสวน ไปกอดต้นไม้

ธรรมชาติเติมพลังให้เรา

เราสามารถพบเจอเด็กข้างในตัวเราได้ เมื่อเราได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ หลายๆ ครั้งธรรมชาติก็ทำให้เราทึ่งในความงาม มันดีที่เราจะอยู่จะสัมผัสกับธรรมชาติได้เสมอ

สิ่งที่เราพัฒนาและฝึกฝนได้ตลอดเวลา คือ การสังเกต

(แต่เรามักจะหลงอยู่ในความคิด)

เวลาที่เราเริ่มสังเกตอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะต้นไม้ มันหล่อเลี้ยงเราได้มาก (Nourishing)

ตามเสียงหัวใจไป

เวลาที่ครูตัดสินใจอะไรบางอย่าง ครูจะมองว่า

  • อะไรดีสำหรับส่วนรวม
  • แล้วอะไรที่ทำให้เรามีความสุข ซึ่งไม่ใช่แบบเห็นแก่ตัว

ครูให้ความสำคัญกับความสุขของตัวเองเพราะ พอเรามีความสุข คนรอบข้างก็จะมีความสุขด้วย ทั้งความสุขและความสงบก็จะแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ด้วย

หากเราไม่สามารถมองเห็นธรรมชาติได้ เราจะสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างไร

เราสัมผัสกับธรรมชาติข้างในตัวเราได้ มองภาพธรรมชาติ ดูหนังเกี่ยวกับธรรมชาติ

ช่วงโควิดครูไม่ได้ออกไปไหน รู้สึกหนักมาก วันหนึ่งเพื่อนส่งหนังเล็กๆ มาให้ เห็นกวางวิ่งเล่น ไปเล่นน้ำ กระโดดโลดเต้น ดูมีความสุข

ครูดูแล้วก็มีความสุข เบิกบานมาก หลังจากนั้นตื่นขึ้นมาก็เปิดหนังเรื่องนี้ดู เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีมาก ที่ให้ตัวเองรู้สึกแบบนี้

ถ้าตาบอด ก็สัมผัสกับพืช กับใบไม้ พืชชอบให้เราสัมผัส และจะดีมากถ้าเราสัมผัสทั้งเนื้อทั้งตัว และมีสติกับมัน

ดีมากเลยที่จะมีต้นไม้อยู่ข้างๆ ผู้ป่วย

มีวันหนึ่งครูป่วย เพื่อนนำดอกชบามาให้ ตั้งแต่เช้าจนเย็น ดอกชบาเปลี่ยนสีไปทั้งวัน รู้สึกดีมาก

ประกายในดวงตา

ปลูกต้นไม้ และเลี้ยงสัตว์ดีทั้งสองอย่าง

ถ้าปลูกต้นไม้ด้วยและเลี้ยงสัตว์ด้วยก็ดี บางคนชอบต้นไม้มากกว่า บางคนชอบสัตว์มากกว่า

พ่อของครูความจำเสื่อม จำคนรอบตัวไม่ได้ จำครูไม่ได้ ไม่มีประกายในดวงตา ยกเว้นตอนที่มีคนนำกระต่ายหรือหนูตะเภา (guinea pig) มา ครูเลยนำหนูตะเภามาวางไว้บนตักของพ่อ ซึ่งเป็นช่วงเวาเดียวที่ครูเห็นประกายในดวงตาของพ่อ

ขอบคุณจากหัวใจ

  • ครูแคลร์ (Claire Elouard), ผู้พาพวกเราเรียนรู้และรับพลังจากธรรมชาติ
  • Holla สมาคมเครือข่ายการเรียนรู้ชีวิตองค์รวม, ผู้จัด
  • มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง, ผู้จัด

เนื้อหาจากการอบรม Connect with Nature เสริมพลังชีวิตผ่านพลังแห่งธรรมชาติ

Connect with Naturre
-+=